What is the SAT?
What is the SAT?
โครงสร้างของข้อสอบ
ข้อสอบ SAT แบ่งออกเป็น 7 section เวลาในการสอบคือ 3 ชั่วโมง โดยจัดแบ่งข้อสอบดังนี้
- SAT Verbal: มี 3 ส่วน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Reading, Grammar และ Analytical Reasoning โดยมีรูปแบบของคำถามเป็น Analogies, Sentence Completion และ Critical Reading ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
- SAT Math: มี 3 ส่วนเช่นกัน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Algebra, Arithmetic และ Geometry โดยมีรูปแบบของคำถามแบบ Quantitative Comparisons (QCs), Regular Math และ Grid-ins ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
- Experimental: การสอบใน 1 section ที่เหลือนี้ จะเป็นเรื่องของบททดสอบ ซึ่งอาจเป็นทางด้านของ Verbal หรือ Math และใช้เป็นข้อมูลภายในของ ETS เท่านั้น คะแนนในส่วนนี้ จะไม่นำมารวมกับคะแนนในส่วนอื่นๆ
ผลคะแนน SAT
ผู้สอบจะได้รับคะแนนแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนของ Math และส่วนของ Verbal ในแต่ละวิชานี้ จะมีระดับคะแนนอยู่ในช่วง 200 – 800 โดยระดับคะแนนเฉลี่ยของทั้งประเทศจะอยู่ในช่วงประมาณ 500 ของแต่ละวิชา หรือคะแนนรวม 1,000 อย่างไรก็ดี สถาบันการศึกษาที่มีอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง มักต้องการระดับคะแนนที่สูงกว่านี้มาก
ระดับคะแนนที่แต่ละสถาบันการศึกษาต้องการ จะมีความแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ดี สถาบันการศึกษาเหล่านี้ ก็พิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย รวมถึง GPA และใบรายงานผลการเรียน จดหมาย recommendation การสัมภาษณ์ และการเขียนบทความเกี่ยวกับตัวเองของนักศึกษา นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาทุกแห่งยังสามารถรับพิจารณาผล ACT แทนผล SAT ได้
SAT II – Scholastic Aptitude Test II
การสอบ SAT II Subject Tests เป็นการสอบที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อประเมินความรู้ของผู้สอบในสาขาวิชาเฉพาะ และเป็นวิชาที่สถาบันการศึกษาใช้พิจารณา ในการตอบรับนักศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 22 สาขาวิชา ดังนี้ Writing (with an essay), Literature, U.S. History, World History, Math Level IC, Math Level IIC, Biology E/M, Chemistry, Physics, French Reading, French Reading with Listening, German Reading, German Reading with Listening, Spanish Reading, Spanish Reading with Listening, Modern Hebrew Reading, Italian Reading, Latin Reading with Listening, Japanese Reading with Listening, Korean Reading with Listening, Chinese Reading with Listening, และ English Language Proficiency Test.
สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ จะพิจารณาผลการสอบ SAT II ใน 3 สาขาวิชาคือ Math IC หรือ IIC, Writing และอีก 1 สาขาวิชาตามที่ผู้สอบต้องการ กล่าวได้ว่ากว่า 1 ใน 3 ของสถาบันการศึกษาที่มีข้อกำหนดให้ส่งผล SAT จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับ SAT II ใน 2-3 สาขาวิชาด้วยเช่นกัน
ระยะเวลาของการสอบ SAT II ในแต่ละสาขาวิชาคือ 1 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่แล้ว (ยกเว้นในสาขาวิชา Writing) จะเป็นข้อสอบแบบปรนัยทั้งหมด ระดับคะแนนของ SAT II ในแต่ละสาขาวิชา ก็จะอยู่ในรูปแบบเดียวกับ SAT คือ 200-800 โดยกล่าวได้ว่าระดับ 600 นับว่าเป็นระดับคะแนนที่สูงมาก
หน่วยงานรับผิดชอบ ค่าสอบและสถานที่สอบ SAT
การสมัครสอบ SAT สามารถทำผ่านทางเว็บไซด์ของ College Board ซึ่งเป็นองค์กรที่รับผิดชอบ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบ SAT รวมถึงการสมัคร online: www.collegeboard.com
ผู้สอบต้องชำระค่าสมัครสอบด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นจำนวนเงิน $78 ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆมีดังนี้
(1) กรณีที่มีการลงทะเบียนสมัครสอบล่าช้า ผู้สอบจะต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก $26
(2) ผู้สมัครสอบในประเทศไทยไม่สามารถขอเลื่อน เปลี่ยนแปลงรอบสอบหรือ Standby ในวันสอบได้
(3) ผู้สมัครสอบไม่สามารถยกเลิกการสอบและจะไม่มีการคืนเงินแก่ผู้สมัครสอบ
(4) หากผู้สมัครสอบต้องการได้รับกระดาษข้อสอบและคำตอบของการสอบในรอบที่ตนเองสอบ
ผู้สอบสามารถลงทะเบียนขอรับกระดาษคำตอบพร้อมทั้งข้อสอบและเฉลยได้ภายหลังจากวันสอบ
ไม่เกิน 6 สัปดาห์โดยเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม $18
ศูนย์สอบ SAT ในประเทศไทยมีทั้งกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ดังต่อไปนี้
1. ศูนย์สอบในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
- Ruamrudee International School (RIS)
- Bangkok Pattana International School
- International Community School of Bangkok (ICS)
- New International School of Thailand (NIST)
- KIS International School (KIS)
- Keerapat International School
- Thai-Chinese International School
- Harrow International School
2. ศูนย์สอบในต่างจังหวัด
- Pream Tinsulanonda International School (Pream)
- Chiang Mai International School (CMIS)
- International School Eastern Seaboard (Burapha Golf Club)
- British International School, Phuket (BIS)
- Lanna International School in Chinag Mai
ช่วงเวลาในการสอบ SAT
การจัดสอบ SAT ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 7 ครั้งต่อปีสำหรับการสอบในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับ
ผู้ที่ไม่ได้สอบในประเทศสหรัฐอเมริกา ศูนย์ทดสอบได้จัดทดสอบทั้งสิ้น 6 ครั้งดังตารางต่อไปนี้
วันสอบ
(สัปดาห์แรก) วิชาที่สอบ การสมัครเพื่อสอบนอกสหรัฐอเมริกา
สมัครก่อน สมัครปกติ
มกราคม SAT I, SAT II สัปดาห์ต้น ธ.ค. สัปดาห์สุดท้าย ธ.ค.
พฤษภาคม SAT I, SAT II สัปดาห์ที่สอง มี.ค. สัปดาห์ต้น เม.ย.
มิถุนายน SAT I, SAT II สัปดาห์ที่ 2 เม.ย. สัปดาห์ต้น พ.ค.
ตุลาคม SAT I, SAT II N/A สัปดาห์ที่ 2 ก.ย.
พฤศจิกายน SAT I, SAT II สัปดาห์ที่ 2 ก.ย. สัปดาห์ต้น ต.ค.
ธันวาคม SAT I, SAT II สัปดาห์ที่ 2 ต.ค. สัปดาห์สุดท้าย ต.ค.
รายละเอียดของข้อสอบ SAT ใหม่
ตามที่ข้อสอบ SAT ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของข้อสอบในเดือนมีนาคม 2005 นั้นรูปแบบของข้อสอบใหม่ประกอบโดยข้อสอบ 7 ประเภทดังนี้
1. Math: Multiple Choice
- เป็นข้อสอบเลขระดับมัธยมปลายโดยมีตัวเลือกให้ 5 ข้อ
- เรียนวิชา Math ของ GMAT ได้ (GMAT ยากกว่า SAT)
2. Math: Grid-Ins
- เป็นข้อสอบเลขระดับมัธยมปลายโดยไม่มีตัวเลือกให้
- เรียนวิชา Math ของ GMAT ได้
3. Identifying Sentence Errors
- เป็นข้อสอบ Grammar เหมือน TOEFL CBT แต่มีตัวเลือก 5 ข้อ
- เรียนวิชา Error Identification ของ TOEFL ได้ (TOEFL ง่ายกว่า SAT)
4. Improving Sentences
- เป็นข้อสอบ Grammar และ Style โดยมีตัวเลือก 5 ตัวเลือก
- เรียนวิชา Sentence Correction ของ GMAT ได้ (GMAT ยากกว่า SAT)
5. Identifying Paragraph Errors
- เป็นข้อสอบ Writing โดยมีตัวเลือก 5 ตัวเลือก
- เรียนวิชา Paragraph ของ TOEFL iBT ได้
6. Essay
- เป็นข้อสอบ Writing
- เรียนวิชา Writing ของ GMAT ได้
7. Sentence Completion
- เป็นข้อสอบ Vocabulary และ Reading โดยผู้สอบต้องเลือกคำศัพท์เติมในช่องว่าง
- สามารถทดแทนด้วยการเรียน Vocabulary และ Reading ของ GMAT ได้
- ผู้เรียนควรท่องศัพท์เพิ่มเติม
8. Reading Comprehension
- เป็นข้อสอบ Reading โดยมีตัวเลือก 5 ตัวเลือก
- เรียนวิชา Reading ของ GMAT ได้
โดยรวมแล้วข้อสอบ SAT “ใหม่” มีความใกล้เคียงกับข้อสอบ GMAT มากกว่าข้อสอบเดิมอย่างเด่นชัด (ในขณะที่ข้อสอบเดิมจะมีความใกล้เคียงกับข้อสอบ GRE ที่เน้นการท่องศัพท์แต่ในขณะที่ข้อสอบใหม่จะเน้นการวิเคราะห์) ดังนั้นผู้เตรียมตัวสอบ SAT สามารถฝึกฝนและเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานและเทคนิคการทำข้อสอบโดยการเข้าเรียนหลักสูตร GMAT ได้ โดยรวมแล้วเนื้อหาของหลักสูตร GMAT จะยากกว่าข้อสอบ SAT ดังนั้นทางสถาบัน Kendall น่าจะแนะนำหลักสูตรดังกล่าวให้กับนักเรียนที่สามารถทำคะแนน TOEFL ได้มากกว่า 550 เท่านั้น***