การสมัครเรียนต่ออเมริกา
มหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยแต่ละแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกามีมาตรฐานระเบียบการสมัครและมาตรฐานการรับนักศึกษาเข้าเรียนไม่เหมือนกัน ดังนั้นนักศึกษาจะต้องทำการสมัครเรียนแยกกันในแต่ละสถานศึกษา ถึงแม้ว่านักศึกษาได้ตัดสินใจแล้วว่าต้องการที่จะเข้าเรียนที่ไหน นักศึกษาควรจะสมัครเรียนที่อื่นไว้ด้วยในกรณีที่วิทยาลัยที่เลือกไว้ไม่รับนักศึกษาเข้าเรียน และอย่างน้อยที่สุดควรจะเลือกสมัครเข้าเรียนในหนึ่งหรือสองวิทยาลัยที่อาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษาเห็นว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสมัครเข้าเรียน เนื่องจากมีนักศึกษาจากทั่วโลกมาแข่งขันเข้าสมัครเข้าเรียนด้วยเหมือนกัน และทางวิทยาลัยจะรับนักศึกษาเข้าเรียนในจำนวนจำกัดเท่านั้น
คำศัพท์
Transcript ใบรับรองผลการศึกษา
Credit หน่วยกิตวิชา บ่อยครั้งที่จะหมายถึงชั่วโมงเรียนในห้องเรียนของแต่ละวิชาในหนึ่งสัปดาห์
Undergraduate นักศึกษาที่กำลังทำการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี แต่ยังไม่ได้รับปริญญา
Graduate school บัณฑิตวิทยาลัย เป็นวิทยาลัยที่เปิดสอนนักศึกษาในระดับที่สูงกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป
GPA-Grade Point Average เกรดเฉลี่ย เป็นตัวเลขวัดผลการศึกษาโดยยึดจากหน่วยกิตวิชาที่เรียนและผลการสอบเป็นหลัก
วิทยาลัยส่วนใหญ่สนับสนุนให้นักศึกษาชาวต่างชาติทำการติดต่อกับสถานศึกษาที่ตนเองอยากเข้ารับการศึกษาหนึ่งปีก่อนที่จะทำการวางแผนใดๆ
ขั้นตอนการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกามีดังต่อไปนี้:
เขียนจดหมายถึงสถานศึกษาหลายๆแห่ง หลังจากที่นักศึกษาได้เลือกสถานที่ศึกษาแล้ว ควรทำการติดต่อสถานศึกษาเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาชาวต่างชาติและแบบฟอร์มการสมัครต่างๆ นักศึกษาสามารถหาข้อมูลของสถานศึกษาต่างๆ จาก www.thaistudyusa.com เพื่อขอรับข้อมูลผ่านทางออนไลน์ หรือติดต่อได้ที่ 02-644-9885 Hotline: 080-941-5664 ถ้านักศึกษามีความสนใจที่จะเข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือหลักสูตรเรียนภาษาอังกฤษ
นักศึกษาที่ต้องการจะศึกษาต่อที่บัณฑิตวิทยาลัยควรมีผลการเรียนที่ดี
ส่งใบสมัคร มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่คัดเลือกนักศึกษาจากผลการเรียนและผลคะแนนสอบ เช่น TOEFL, the SAT หรือ ACT ถ้านักศึกษาสมัครเข้าเรียนที่บัณฑิตวิทยาลัย นักศึกษาจะต้องแสดงคะแนนผลการสอบเพิ่มเติม เช่น the GRE, GMAT เป็นต้น
(นักศึกษาอาจจะสามารถขอรับใบสมัครของสถานศึกษาบางแห่งได้ด้วยตัวเองที่เว็บไซต์ของสถานศึกษา หรือที่ศูนย์แนะแนว Thai Study USA ค่าสมัครต่อหนึ่งแบบฟอร์มการสมัครเข้ารับการศึกษาคือ 35-100 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นค่าดำเนินการใบสมัครและไม่สามารถเอาคืนได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับให้เข้ารับการศึกษาก็ตาม
ใบสมัครส่วนใหญ่จะถามข้อมูลต่างๆดังต่อไปนี้:
- ข้อมูลส่วนตัว—รวมไปถึงชื่อ, อายุ, ที่อยู่, ภูมิหลังครอบครัว, สถานที่เกิด, สัญชาติ และอื่นๆ
- กิจกรรมต่างๆที่เข้าร่วม—รายชื่อของสโมสรที่เป็นสมาชิกอยู่, รางวัลที่ได้รับ, ประสบการณ์ด้านการกีฬา หรือตำแหน่งทางผู้นำที่เคยมี
- แผนการศึกษา—เขียนบทความสั้นๆในหัวข้อที่ว่าทำไมนักศึกษาถึงต้องการที่จะเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาแห่งนี้, คณะวิชาอะไรที่นักศึกษาต้องการศึกษา, อาชีพในฝัน และแผนการทำการวิจัยค้นคว้า
- บทความ—สถานศึกษาบางแห่งมีหัวข้อบทความให้นักศึกษาเลือก กรุณาดูที่ Sidebar
- จดหมายรับรอง—ในแบบฟอร์มใบสมัครเข้ารรับการศึกษาจะมีกระดาษเปล่าอยู่สองสามใบไว้สำหรับเขียนจดหมายรับรอง ให้นักศึกษาขออาจารย์สองสามท่านเขียนจดหมายรับรองและส่งตรงไปที่สถานศึกษาที่นักศึกษาได้เลือกไว้
ควรส่งใบสมัครเข้ารับการศึกษาก่อนที่จะหมดเขตการรับสมัคร
การสมัครสอบเพื่อขอเข้ารับการศึกษา นักศึกษาที่สมัครเข้ารับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องทำการสอบเพื่อวัดสมรรถภาพและประเมินผลการศึกษา นักศึกษาชาวต่างชาติต้องทำการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ โดยการสมัครขอเข้าสอบได้ที่ศูนย์การทดสอบซึ่งตั้งอยู่ทั่วโลก ซึ่งมีมาตรฐานการทดสอบเหมือนกันทุกศูนย์ ผลการทดสอบของนักศึกษาจะถูกสำนักงานฝ่ายรับสมัครพิจารณาในด้านความสามารถของนักศึกษา และยังมีการเปรียบเทียบผลการทดสอบกับผลการทดสอบของนักศึกษาคนอื่นๆอีกด้วย
เมื่อเข้าทำการทดสอบเพื่อขอเข้ารับการศึกษาแล้ว ผลการทดสอบจะถูกส่งตรงไปที่มหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยที่นักศึกษาได้สมัครไว้ นักศึกษาอาจจะถูกถามชื่อของสถานศึกษาเวลาขอสมัครเข้าทำการทดสอบบางตัว เช่น the SAT หรือ ACT หรือในกรณีที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทดสอบนั้น นักศึกษาสามารถระบุสถานศึกษาได้ที่ศูนย์ทำการทดสอบ แล้วทางศูนย์จะทำการส่งผลการทดสอบไปยังสถานศึกษาเหล่านั้นโดยตรง และถ้านักศึกษาต้องการผลการทดสอบหลังจากนั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการออกผลสอบ
การรับจดหมายยอมรับเข้าเรียน หลังจากหมดเขตการรับสมัคร นักศึกษาจะได้รับจดหมายจากทางสถานศึกษาที่ได้สมัครไว้ บางสถานศึกษาบอกผลกับนักศึกษาทันทีหลังจากที่สำนักงานฝ่ายรับสมัครได้รับเอกสารการสมัครจากนักศึกษา ซึ่งเรียกว่า “rolling admissions.” แต่สถานศึกษาอื่นๆ รอหลายเดือนก่อนแล้วแจ้งนักศึกษาให้ทราบพร้อมกันทีเดียว
การจ่ายค่ามัดจำ สถานศึกษาส่วนใหญ่กำหนดเวลาให้นักศึกษาจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าเพื่อจองที่ในห้องเรียนในวันแรก สำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติแล้วอาจจะต้องจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าเป็นค่าการเรียนการสอนต่อหนึ่งเทอมหรือต่อหนึ่งปี
นักศึกษาควรจะจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าทันทีถ้าต้องการที่จะสมัครขอความช่วยเหลือด้านการเงินหรือถ้าต้องการวางแผนที่จะพักอาศัยที่หอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เนื่องจากสถานศึกษาหลายแห่ง่มีห้องพักไม่เพียงพอให้นักศึกษาทุกคนพักอาศัยอยู่ ดังนั้นนักศึกษาจะมีโอกาสที่จะได้ที่พักในหอพักมากกว่าถ้านักศึกษาจ่ายค่ามัดจำและส่งใบสมัครขอที่พักอาศัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สถานศึกษาที่นักศึกษาเลือกไว้อาจจะขอให้นักศึกษาแสดงรายการบัญชีเงินฝากเพื่อดูว่านักศึกษามีงบเพียงพอตลอดปีการศึกษาหรือไม่ ถ้ามีทุนการศึกษาจากรัฐบาลหรือบริษัทนักศึกษาต้องแสดงรายละเอียดให้กับสถานศึกษาด้วย
การเขียนบทความที่ดี
นักศึกษาอาจจะไม่คุ้นเคยกับวิธีการแบบอเมริกันที่จะต้องเขียนบทความส่วนตัวเพื่อส่งไปพร้อมกับใบสมัครขอเข้ารับการศึกษา ดังนั้นเรามีวิธีการเขียนบทความดีๆมาแนะนำให้ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1: ตั้งหัวข้อบทความที่ดี หัวข้อบทความที่ดีควรจะมีความหมายสำหรับผู้เขียนเป็นการส่วนตัว เปิดเผยถึงความเป็นตัวคุณ แสดงความมีคุณค่าในตัวคุณ สิ่งที่คุณสนใจ และชี้แจงว่าทำไมคุณถึงดีกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ เขียนถึงสิ่งที่ผู้ตัดสินไม่สามารถมองเห็นได้จากผลการศึกษา จากวิชาได้เรียนมาหรือสิ่งอื่นๆที่มีอยู่แล้วในใบสมัคร การเลือกหัวข้อบทความมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คุณเริ่มต้นจากการถามตัวเองว่าคุณชอบอะไร ทำอะไรมาบ้าง หรืออยากจะไปที่ไหน
ขั้นที่ 2: เขียนบทความ การเขียนบทความต้องใช้เวลา ไม่ควรรีบเร่งทำให้เสร็จภายในช่วงเวลาสั้นๆในตอนบ่าย ควรให้ความสำคัญกับข้อแนะนำต่างๆ เขียนให้ผู้อ่านสนใจที่จะอ่านให้จบทั้งบทความ ใช้คำง่ายๆในการเขียนอธิบายความคิดของคุณ ไม่จำเป็นต้องใช้่คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นทางการมากมายเพื่อแสดงความสามารถในด้านภาษาของคุณ เขียนแสดงความต่างๆ ด้วยการใช้ตัวอย่าง
ขั้นที่ 3: ค่อยๆเขียนไปเรื่อยๆและขอคำแนะนำ ควรเริ่มต้นการเขียนบทความล่วงหน้านานๆ เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาหยุดพักเขียนสองถึงสามวัน หรือเป็นอาทิตย์แล้วกลับมาเขียนใหม่ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีมุมมองใหม่ๆในบทความของคุณ ควรให้เพื่อนๆหรือสมาชิกในครอบครัวอ่านบทความของคุณเพื่อให้พวกเขาแนะนำหรือบอกในสิ่งที่คุณลืมเขียนลงในบทความได้ ขอให้เขียนอย่างสนุก ค่อยๆเขียน และเขียนสื่อสารความเป็นตัวคุณให้ดีที่สุด!
ข้อแนะนำในการทำข้อสอบ
เมื่อกำลังเตรียมตัวเพื่อการทดสอบต่างๆที่พูดถึงในบทความนี้ นักศึกษาควรจำไว้เสมอว่าคำแนะนำที่ดีที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นคือพื้นฐานที่จำเป็น ความเชี่ยวชาญในด้านภาษาอังกฤษเกิดขึ้นได้จากการศึกษาอย่างต่อเนื่องและการทำแบบฝึกหัด
1.เตรียมพร้อมในการสอบล่วงหน้า ใช้เครื่องมือในการเตรียมความพร้อมต่างๆที่มีอยู่แล้วเพื่อสร้างความคุ้นเคยในโครงสร้างและคู่มือการทำข้อสอบ ข้อแนะนำในการทำข้อสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์หรือกระดาษนั้นจะมีให้ทุกๆ ครั้งที่มีการสอบ
2.ศึกษาคำถามตัวอย่างที่มีอยู่และทำแบบฝึกหัด ส่วนใหญ่แล้วจะมีตัวอย่างคำถามและข้อความต่างๆให้ศึกษาพร้อมกันกับตัวอย่างข้อสอบ ควรทำแบบฝึกหัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนการสอบจริง
3.สร้างบรรยากาศของสถานที่ทำการสอบ สร้างบรรยากาศในที่ที่คุณอ่านหนังสือสอบให้เหมือนกับห้องสอบให้มากที่สุด ตั้งเวลาในการทำแบบฝึกหัดและพยายามทำแข่งกับเวลาเหมือนกับเวลาจริงในห้องสอบ มองหาจุดที่คุณต้องปรับปรุงแก้ไขแล้วตั้งใจศึกษาในจุดนั้นๆ
4.ใช้บริการในแหล่งข้อมูลทุกที่ี เมื่อคุณรู้แนวข้อสอบและวิธีการให้คะแนนสอบ จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดคือเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ทางอินเตอร์เน็ตนั้นจะมีให้ฟรี และเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้คำแนะนำที่ดีเพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการทำข้อสอบ
5.ทำตามข้อแนะนำ ก่อนทำข้อสอบควรอ่านข้อแนะนำในการทำข้อสอบทั้งหมด ทำความเข้าใจกับจุดประสงค์และคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตรงกับจุดประสงค์นั้นๆ ไม่ต้องกังวลถ้าคุณไม่รู้คำตอบ—ให้ความสนใจกับคำถามที่ทำอยู่ และทำให้ดีที่สุด อย่าใช้เวลามากเกินไปกับคำถามเดียว ให้ตั้งเวลาให้เพียงพอในการตอบคำถามทุกข้อในข้อสอบ
6.ทำตัวให้สบายและมีความมั่นใจ พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันสอบ จำไว้ว่าถ้าคุณพักผ่อนอย่างเพียงพอและเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว คุณจะรู้สึกดีและคิดในแง่บวกตลอดการทำข้อสอบ
ทางเลือกสู่การศึกษาระดับปริญญาในสหรัฐอเมริกา
การศึกษาระดับปริญญาตรี
วิทยาลัยชุมชนหรือวิทยาลัยระดับต้น
หลักสูตรระดับปริญญาตรีแบบหลักสูตรสองปี สามารถเตรียมความพร้อมทางอาชีพเฉพาะทาง ให้แก่คุณได้ หรือการศึกษาแบบรายวิชา (coursework) ก็สามารถโอนไปใช้ประกอบการศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปีได้
ปริญญา: อนุปริญญาตรีศิลปศาสตร์ หรือ Associate of Arts (AA), อนุปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ หรือ Associate of Science (AS)
ขั้นตอนการโอน: ในฐานะนักศึกษา คุณอาจจะขอโอนย้ายไปศึกษาต่อในหลักสูตรสี่ปีของวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยได้ สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรสี่ปีจะตรวจสอบหน่วยกิตทั้งหมดเพื่อพิจารณาว่าคุณจะสามารถโอนย้ายหน่วยกิตไปใช้ในหลักสูตรปริญญาตรีสี่ปีได้จำนวนกี่หน่วยกิต วิทยาลัยชุมชนบางแห่งอาจจะมีข้อตกลงในการโอนนักศึกษาร่วมกับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรสี่ปีภายในมลรัฐ โดยวิทยาลัยชุมชนจะเป็นผู้ดำเนินการสอนสองปีแรกของหลักสูตร และสถาบันดังกล่าวจะดำเนินการสอนในอีกสองปีที่เหลือ
มหาวิทยาลัยหลักสูตรสี่ปี
ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยและสาขาวิชา จึงจะสามารถเข้าศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีในสาขาวิชาที่เลือกเรียน (วิชาเอก) ได้
ปริญญา: ศิลปศาสตรบัณฑิต (BA), วิทยาศาสตรบัณฑิต (BS), ศิลปบัณฑิต (BFA), สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต (BSW), วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (B.Eng.), ศึกษาศาสตรบัณฑิต (B.Ed.) หรือ ปรัชญาบัณฑิต (B.Phil.) หลักสูตรวิชาชีพสถาปัตยกรรมห้าปี จะมอบวุฒิสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต (B.Arch.)
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณา:
- สาขาวิชาที่เรียน (วิชาเอก)
- เกรดเฉลี่ย (GPA)
- คุณภาพของหลักสูตร
- ลำดับที่ในชั้นเรียน
- หนังสือแนะนำตัว (Personal Statement)
- เกณฑ์พิจารณาอื่นๆ (เช่น การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมนอกหลักสูตร บทเรียงความส่วนตัว จดหมายรับรอง การสัมภาษณ์ และการทดสอบตามมาตรฐาน)
การศึกษาระดับปริญญาโท
การศึกษาระดับปริญญาโท จะเป็นการเรียนเพิ่มเติมอีกหนึ่งถึงสามปีในสาขาวิชาเฉพาะ หลังจากที่คุณสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐฯ หรือเทียบเท่าจากอีกประเทศหนึ่ง
ปริญญา: ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (MA), วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (MS), บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA), ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (MEd), ศิลปมหาบัณฑิต (MFA), สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (MSW), วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (ME), นิติศาสตรมหาบัณฑิต (LLM), และรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (MPA)
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณา:
- สาขาวิชาที่เรียน (วิชาเอก)
- เกรดเฉลี่ย (GPA)
- หนังสือแนะนำตัว (Personal Statement)
- จดหมายรับรอง (Letters of Recommendation)
- ประสบการณ์วิชาชีพ
- ผลคะแนนสอบตามมาตรฐาน (GMAT®, GRE® หรือ MATTM)
การศึกษาระดับปริญญาเอก
โดยปกติแล้ว เมื่อคุณสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คุณก็จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้ตามสาขาวิชาเฉพาะที่เลือก
ปริญญา: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.), ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (D.A.), ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต (Ed.D.), ศาสนาศาสตรดุษฎีบัณฑิต (D.Th.), แพทยศาสตรบัณฑิต (M.D.), เภสัชศาสตรบัณฑิต (PharmD), กายภาพบำบัดดุษฎีบัณฑิต (D.PT), นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย (D.Jur.)
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณา:
- สาขาวิชาที่เรียน (วิชาเอก)
- เกรดเฉลี่ย (GPA)
- หนังสือแนะนำตัว (Personal Statement)
- ประสบการณ์วิชาชีพ
- ผลคะแนนสอบตามมาตรฐาน (GMAT®, GRE®, MCAT, LSAT หรือ MATTM)
การโอนย้ายที่เรียนสำหรับหลักสูตรสองถึงสี่ปี – ทางเลือกที่ดีเยี่ยม!
เพราะเหตุใดนักศึกษาจึงเลือกที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัยชุมชนหรือวิทยาลัยระดับต้นก่อน?
- มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรสี่ปีส่วนใหญ่จะมีวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรสองปีอยู่ในบริเวณใกล้เคียง วิทยาลัยดังกล่าวจึงมักจะเรียกกันว่า วิทยาลัยชุมชน (Community college) หรือวิทยาลัยระดับต้น (Junior College) คุณสามารถเรียนจบวุฒิอนุปริญญาตรี และ/หรือ โอนย้ายหน่วยกิตไปใช้ประกอบการศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาตรีหลักสูตรสี่ปีได้
- กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ค่าเล่าเรียนที่วิทยาลัยชุมชนหรือวิทยาลัยระดับต้นจะถูกกว่าที่มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรสี่ปีค่อนข้างมาก
- ชั้นเรียนส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่าที่วิทยาลัยชุมชนหรือวิทยาลัยระดับต้น
- ในหลักสูตรการศึกษาส่วนมาก คุณจะเริ่มต้นเรียนวิชาหลักที่คล้ายคลึงกันหรือเรียนตามหลักสูตรที่กำหนดไว้สำหรับช่วงสองปีแรกในวิทยาลัย ซึ่งจะเหมือนกันไม่ว่าคุณจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยก่อนสองปี หรือในกรณีที่คุณเข้าศึกษาโดยตรงในมหาวิทยาลัยแบบหลักสูตรสี่ปี
- การกำหนดเกรดเฉลี่ย (GPA) ขั้นต่ำและเกณฑ์อื่นๆ ในการพิจารณารับนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนจะต่ำกว่าในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ บางครั้งวิทยาลัยชุมชนอาจจะ “เปิดรับนักศึกษาแบบเสรี” หมายถึง จะมีข้อกำหนดในการรับนักศึกษาเพียงอย่างเดียวคือ ต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
- ในหลายมลรัฐจะมีแผนการโอนย้ายนักศึกษากำหนดเอาไว้ล่วงหน้า หรือมีข้อตกลงในการเทียบโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันการศึกษาแบบสองปีและสี่ปี อาจารย์แนะแนวการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนจะเป็นผู้แนะนำแผนการศึกษาที่มีการศึกษารายวิชา โดยพิจารณาจากหลักสูตรการศึกษาของคุณ แผนดังกล่าวไม่เพียงแต่จะตรงตามข้อกำหนดในการสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาตรีของทางวิทยาลัยเท่านั้น แต่จะมีความเหมาะสมในการสามารถโอนหน่วยกิตให้ได้จำนวนมากที่สุดเพื่อเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรสี่ปีของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
- เกรดเฉลี่ยที่กำหนดโดยมหาวิทยาลัยในการพิจารณารับโอนนักศึกษามักจะต่ำกว่าเกรดที่ใช้ในการพิจารณารับนักศึกษาใหม่ในปีแรก สำหรับนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำจากโรงเรียนมัธยมศึกษา การมีผลการเรียนที่ดีในวิทยาลัยชุมชนก็จะทำให้ได้รับโอกาสอีกครั้งในการได้รับการยอมรับให้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
ข้อกำหนดทางการศึกษาในการโอนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยหลักสูตรสี่ปีมีอะไรบ้าง?
ข้อกำหนดทางการศึกษาที่จะทำให้นักศึกษาสามารถโอนย้ายที่เรียนได้เป็นผลสำเร็จนั้นจะแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรสี่ปี ในฐานะนักศึกษา คุณจะได้เข้าพบกับอาจารย์แนะแนวการศึกษาเพื่อกำหนดเป้าหมายสำหรับการโอนย้ายไปเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่คุณเลือก เมื่อคุณมีหน่วยกิตสะสมครบตามที่ระบุไว้จากวิทยาลัยชุมชนแล้ว (โดยปกติแล้วจะเท่ากับ 30 หน่วยกิต หรือ สิบวิชาๆ ละ 3 หน่วยกิต) และได้เกรดเฉลี่ยขั้นต่ำ (โดยปกติแล้วจะอยู่ระหว่าง 2.0/4.0 และ 2.5/4.0 ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรสี่ปี) คุณจะได้รับการพิจารณาโดยมหาวิทยาลัยให้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนโอน คุณจะต้องยื่นแสดงใบแสดงผลการศึกษา (transcripts) ที่เป็นทางการซึ่งได้รับจากทุกวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในการสมัครเพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย
แผนการโอนย้ายที่เรียนมีลักษณะใดบ้าง?
การดำเนินการเพื่อโอนย้ายที่เรียนระหว่างสถาบันการศึกษาจะแตกต่างกันไป โดยจะมีข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างมลรัฐในการกำหนดแผนการศึกษาที่เฉพาะเจาะจง และเพื่อให้ขั้นตอนการโอนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยสามารถกระทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงพิเศษซึ่งทำขึ้นระหว่างบางสถาบันภายในชุมชนเดียวกัน หรือสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญทางวิชาการที่เหมือนกัน ณจะต้องขอคำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจากอาจารย์แนะแนวการศึกษาในวิทยาลัยชุมชนของคุณ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะเรียนจบตามแผนการศึกษาซึ่งจะส่งผลให้คุณสามารถโอนย้ายหน่วยกิตได้มากที่สุด