https://www.thaistudyabroad.com

ข้อมูลประเทศอเมริกา

ข้อมูลทั่วไปของประเทศอเมริกา  

สิ่งที่น่าสนใจ

สถานฑูตอเมริกาประจำประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่
95 ถนนวิทยุ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ : 0-2205-4000
โทรสาร : 0-2205-4103

สหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่โตมาก ทั้งประเทศประกอบด้วย 50 รัฐ ซึ่งแต่ละรัฐมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก รัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดคือรัฐแคลิฟอร์เนีย รองลงมาคือ รัฐนิวยอร์ค ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรประมาณ 292 ล้านคน ระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกา เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุดไม่มีนายกรัฐมนตรี

ค่าเงินของประเทศสหราชอาณาจักร โดยประมาณ 1 USD = 35 บาท

ภูมิประเทศ   
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ เทียบเท่ากับ 18 เท่าของพื้นที่ประเทศไทย ส่วนกว้างของประเทศ จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันตก ไปจนจรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันออก มีความกว้างถึง 4,500 กิโลเมตร ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก

เมืองสำคัญ 
สหรัฐอเมริกาประกอบด้วยรัฐต่างๆ 50 รัฐ กับ 1 เขตการปกครองคือ วอชิงตัน ดีซี (Washington DC) รัฐเหล่านี้มีอาณาเขตติดต่อกันถึง 48 รัฐ มียกเว้น 2 รัฐคือ รัฐฮาวาย ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และรัฐอลาสก้า ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศแคนาดา เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศกว้างขวางมาก จึงทำให้ภูมิอากาศแตกต่างกันด้วย ดังนั้นรัฐต่างๆ เหล่านี้จึงถูก แบ่งเป็น

 

ประเทศสหรัฐอเมริกามีการแบ่งภูมิภาคต่างๆตามลักษณะภูมิประเทศ ดังนี้  

 

New England  ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ Main, New Hampshire, Vermont, Massachusetts, Connecticut and Rhode Island

 

The Middle Atlantic ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ New York, New Jersey, Pennsylvania, Delaware and Maryland

 

The south ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ West Virginia, Kentucky, Tennessee, North Carolina, South Carolina, Georgia, Alabama, Mississippi, Arkansas, Louisiana  และส่วนหนึ่งของรัฐ Missouri และ Oklahoma

 

The Midwest ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ Ohio, Nebraska, Michigan, Indiana, Wisconsin, Illinois, Minnesota, Lowa, parts of Missouri, North Dakota, South Dakota, Kansas and Colorado ด้านตะวันออก

 

The South West ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ Oklahoma, New Mexico, Arizona, Nevada และทางตอนใต้ของรัฐ California

 

The West ครอบคลุมพื้นที่ของรัฐ Colorado, Wyoming, Montana, Utah, California, Nevada, Idaho, Oregon, Washington, Alaska and Hawaii

 

สภาพภูมิอากาศ   
ลักษณะอากาศของแต่ละเขตต่างกันไป เช่น ในฤดูร้อน อากาศด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณทะเลทรายอุณหภูมิเกือบเท่าแถบเส้นศูนย์สูตร ส่วนฤดูหนาวในเขตทางตอนเหนือ ก็จะหนาวจัดจนหิมะตกหลายเดือน แถบที่อากาศอบอุ่นสบาย ไม่มีหิมะตก คือที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และอริโซน่า ส่วนในช่วงฤดใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนสีสันสวยงามมาก

ฤดูกาลมีทั้งหมด 4 ฤดู คือ
-ฤดูร้อน (Summer) มิถุนายน – สิงหาคม
-ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) กันยายน – พฤศจิกายน
-ฤดูหนาว (Winter) ธันวาคม – กุมภาพันธ์
-ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) มีนาคม – พฤษภาคม

เวลา
ด้วยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างมาก จึงมีการแบ่งความแตกต่างของเวลา ตามเส้นแบ่งของโลก เป็น 4 เขตเวลา (Time Zone) คือ

Eastern Time Zone (EST) : จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 12 ชั่วโมง
Central Time Zone (CST) : จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 13 ชั่วโมง
Mountain Time Zone (MST) : จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 14 ชั่วโมง
Pacific Time Zone (PST) : จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 15 ชั่วโมง

ในแต่ละ Time Zone จะมีเวลาแตกต่างกัน 1 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น เวลาใน Eastern โซน เป็นเวลาบ่าย 4 โมงเย็น เวลาในเขต Central โซนจะเป็นบ่าย 3 โมงเย็น ในเขต Mountain โซนเป็นเวลาบ่าย 2 โมง และเวลาในเขต Pacific โซนจะเป็นเวลาบ่ายโมงตรง
ในฤดูใบไม้ร่วงจะมีการหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาเดิน หน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงโดยจะหมุนในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ตุลาคม และในฤดูใบไม้ผลิ จะหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์แรกของ เดือนเมษายน

การใช้ชีวิต  

 เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะมีฐานะใกล้เคียงกัน มีเป็นจำนวนน้อยที่จะร่ำรวยมหาศาล หรือยากจน สหรัฐเป็นประเทศที่มีความเจริญ และเป็นผู้นำในธุรกิจหลายประเภท และทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เช่นอุตสาหกรรม รถยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ รวมถึงการท่องเที่ยวและบันเทิง
โทรศัพท์ 
การใช้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์ในประเทศอเมริกา เป็นเรื่องที่สะดวกสบายมาก โทรศัพท์สาธารณะมีอยู่ทั่วไป ทั้งแบบหยอดเหรียญและใช้บัตร รวมถึงบัตรเครดิต สำหรับนักศึกษาที่ไปศึกษาต่อและต้องพำนักอาศัยอยู่ในประเทศเป็นเวลานาน อาจพิจารณาขอติดตั้งโทรศัพท์เป็นของตนเองภายในที่พัก ซึ่งสามารถกระทำได้โดยง่าย เนื่องจากเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลจัดให้มีเพียงพอสำหรับประชาชน และด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทางด้าน internet ในปัจจุบัน บริการโทรศัพท์ทางไกลผ่าน internet ก็เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของการใช้ Prepaid Phone Card ซึ่งจะมีอัตราค่าบริการที่ค่อนข้างถูก หรือการต่อ internet กับคอมพิวเตอร์ และใช้หูฟังซึ่งเพียงต่อ internet และมีโปรแกรมที่ใช้สำหรับการโทรศัพท์ก็สามารถใช้ได้แล้ว
——————————————————————————–
เงินตรา 
หน่วยเงินตราของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ ดอลล่าร์ (US$) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 100 เซ็นต์ ธนบัตรของประเทศอเมริกาทุกมูลค่า จะมีสีเขียวเหมือนกันหมดและมีขนาดเท่ากันหมด หน่วยเงินที่ใช้โดยทั่วไปคือ $ 1, $ 5, $ 10, $ 20, $ 50 และ $ 100 สำหรับเงินเหรียญ จะมีขนาดและลักษณะที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่เหรียญ 1 เซ็นต์ (penny), เหรียญ 5 เซ็นต์ (nickel), เหรียญ 10 เซ็นต์ (dime), และเหรียญ 25 เซ็นต์ (quarter)

——————————————————————————–
ไฟฟ้า 
ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115 V, 600 Cycles ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ไม่แนะนำให้นักศึกษานำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไป

——————————————————————————–
ศุลกากร 
นักศึกษาสามารถนำเงินสดสกุลดอลลาร์สหรัฐเข้าประเทศได้ในวงเงินสูงสุด US$ 10,000 ถ้ามากกว่านั้นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่

ระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา  

ระบบการศึกษา

การศึกษาในสหรัฐอเมริกาแต่ละรัฐ จะควบคุมคุณภาพ การเรียนการสอน และวางแผนการศึกษาของตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลาง ทุกรัฐจะมีหน่วยงานการศึกษา คล้ายกระทรวงศึกษาธิการ คอยกำหนดมาตรฐานต่างๆ แนะนำเงินงบประมาณอุดหนุนให้โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย จากเงินภาษีที่เก็บได้จากประชาชนในแต่ละรัฐ การศึกษาภาคบังคับ

 

นักเรียนอเมริกันทุกคนจะเรียนฟรี ไม่ว่าจะอยู่ที่รัฐใด จนจบชั้นมัธยมศึกษา หรือ Grade 12 สำหรับนักเรียนจากประเทศไทย ที่ต้องการเรียนในระดับประถม และมัธยมศึกษาที่อเมริกา จะสมัครเข้าเรียนได้ในโรงเรียนเอกชนเท่านั้น เพราะสหรัฐอเมริกาจะไม่ออกวีซ่าให้นักเรียนไทยที่ได้ I-20 จากโรงเรียน ระดับประถม และมัธยมศึกษาจากโรงเรียนของรัฐ การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะมีข้อแตกต่าง กล่าวคือ ถ้านักเรียนที่มีถิ่นฐานในรัฐหนึ่ง จะข้ามมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยอีกรัฐหนึ่ง จะต้องเสียค่าเล่าเรียนแพงขึ้น ที่เรียกว่า Out of States Tuition และถ้านักศึกษามาจากประเทศอื่น จะต้องเสียค่าเล่าเรียนมากกว่าขึ้นไปอีก

โรงเรียนอนุบาล (Kindergarten)  
ชีวิตการเรียนของเด็กอเมริกันเริ่มต้นด้วยโรงเรียนเตรียมอนุบาล หรือโรงเรียนอนุบาล ตั้งแต่อายุประมาณ 3 ขวบ

โรงเรียนประถมศึกษา (Elementary Schools)  เด็กอเมริกันจะเข้าเริ่มเรียนอย่างจริงจังเมื่ออายุ 6 ขวบ บริบูรณ์ คือเข้าเรียนในชั้น Grade 1 ซึ่งบ้านเราก็นับว่าเป็น ประถมศึกษาปีที่ 1 ระบบการศึกษาของประเทศอเมริกา จะจัดแบ่งออกเป็น Grade 1 ถึง Grade 12 ซึ่งโดยหลักการแล้ว จะจัดแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 คือ Grade 1 ถึง Grade 6 หรือระดับประถมศึกษา
โรงเรียนมัธยมศึกษา (Junior High Schools / High Schools)  
ช่วงที่ 2 คือ Grade 7 และ Grade 8 หรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High School) และช่วงที่ 3 คือ Grade 9 ถึง Grade 12 เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High School) โดยทั่วไปสำหรับเด็กที่เข้าเริ่มเรียนตามปกติ และเรียนต่อเนื่องไปโดยไม่ขาดตอน จะสำเร็จการศึกษา Grade 12 เมื่อ อายุประมาณ 18 ปี ซึ่งนับว่าสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักศึกษาต่างชาติที่เข้าไปเรียนต่อ ในระดับมัธยมศึกษา ประถมศึกษา ในประเทศอเมริกามีจำนวนไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำของเอกชน หรือ Boarding School แม้ว่าในปัจจุบันโรงเรียนของรัฐบาลจะมีนโยบาย เปิดรับนักศึกษาต่างชาติมากขึ้น แต่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ ก็ยังคงสมัครเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำ เนื่องจากโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดหาหอพักให้ได้ โดยทั่วไปนักเรียนไทยส่วนใหญ่ที่ไปเรียนต่อในระดับนี้ มักสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว และไปเข้าเรียนต่อ Grade 10 ใน ประเทศอเมริกา
ระดับอุดมศึกษา (Higher Education)  
สถาบันระดับอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกามีมากมายกว่า 3,000 แห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน โดยสถาบันในระดับอุดมศึกษา จะแยกออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือวิทยาลัยชุมชน (Junior Colleges และ Community Colleges) นักศึกษาที่เรียนใน วิทยาลัย Junior และ Community Colleges สามารถ เลือกเรียนได้ใน 2 หลักสูตร คือ
1.1 Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปี แรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยนักศึกษาจะลงเรียนรายวิชาบังคับ (General Education Requirements) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้น นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิต (Transfer) ไปมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน เพื่อศึกษาต่อในระดับปี 3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่า นักศึกษาจะได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัย ที่อยู่ในอันดับยากง่ายเพียงใด
1.2 Terminal/Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพ หลังจาก 2 ปีแล้ว นักศึกษาจะได้รับวุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาที่เลือก อาทิเช่น คอมพิวเตอร์ เลขานุการ เขียนแบบ เป็นต้น

2. วิทยาลัย (Colleges) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษา หลักสูตร 4 ปี เปิดสอนในสาขาวิชาต่างๆ วิทยาลัยหลายแห่ง เปิดสอนถึงระดับปริญญาโท วุฒิบัตรระดับปริญญาตรีและโทจาก College ทั้งของรัฐและเอกชนในสหรัฐฯ มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่า University ทุกประการ
3. มหาวิทยาลัย (University) เป็นสถาบันระดับอุดม ศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไป มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโทและเอกในสาขาต่างๆ
4. สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) เป็นสถาบันที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี และอาจเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโทและเอก สถาบันเทคโนโลยีส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นที่การสอนในสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
——————————————————————————–
เืงื่อนไขการรับเข้าเรียน 

 มัธยมศึกษา  
นักเรียนจากประเทศไทยสามารถศึกษาต่อในระดับมัธยม ในโรงเรียนของเอกชนเท่านั้น ไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันของรัฐบาลได้ เงื่อนไขอื่นๆ เช่นเกรดเฉลี่ยและคะแนน TOEFL แตกต่างออกไปตามสถาบัน
วิทยาลัย  
วิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL 450-500 ขึ้นไป
มหาวิทยาลัย
– สำหรับปริญญาตรี สถาบันส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป และ TOEFL 500 ขึ้นไป
– ปริญญาโท และเอก เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL ไม่ต่ำกว่า 500 นักศึกษาที่จะสมัครในโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยปริญญาตรี ส่วนนักศึกษาที่สมัครปริญญาโทและเอกในสาขาอื่นๆ ส่วนใหญ่จะต้องสอบ GRE (Graduate Record Examination)
——————————————————————————–
ปีการศึกษา 

ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic Year) จะเริ่ม ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้
ระบบ Semester
เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ในระยะเวลาหนึ่งปีจะประกอบด้วย 2 Semesters และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semester ยาวประมาณ 16 สัปดาห์ ดังนี้
– Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม – กลางธันวาคม
– Spring Semester เปิดประมาณต้นมกราคม – เมษายน (บางครั้ง Summer Session จะแบ่งครึ่งเป็น 2 ช่วงสั้น ๆ)
– Summer Session เปิดประมาณกลางพฤษภาคม – สิงหาคม

ระบบ Quarter 
ในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ ดังนี้
– Fall Quarter เปิดประมาณกลางกันยายน – ธันวาคม
– Winter Quarter เปิดประมาณมกราคม – กลางมีนาคม
– Spring Quarter เปิดประมาณต้นเมษายน – กลางมิถุนายน
– Summer Quarter เปิดประมาณกลางมิถุนายน- สิงหาคม

ระบบ Trimester  
ใน 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาดังนี้
– First Trimester เปิดประมาณกันยายน – ธันวาคม
– ีSecond Trimester เปิดประมาณมกราคม – เมษายน
– Third Trimester เปิดประมาณพฤษภาคม – สิงหาคม

 ระบบ 4-1-4  
เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาราว 8% ในสหรัฐอเมริกาแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip แบ่งภาคเรียน ดังนี้
– Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม – ธันวาคม
– Interim เปิดประมาณเดือนมกราคม (1 เดือน)
– Spring Semester เปิดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม
——————————————————————————–
ค่าเล่าเรียน 

ระดับ ค่าเล่าเรียนต่อปี(US$)
หลักสูตรภาษาอังกฤษ 5,000 – 14,000
มัธยมศึกษา 6,000-17,500
หลักสูตรประกาศนียบัตร/อนุปริญญา 5,600 – 8,000
หลักสูตรปริญญาตรี 3,000-13,000
หลักสูตรปริญญาตรี (ใช้ห้องปฏิบัติการ) 5,700-16,000
หลักสูตรปริญญาโท 8,000-14,400
MBA 8,000-24,000
ปริญญาเอก 9,600 – 16,000

ค่าใช้จ่ายด้านบนนี้ เป็นเพียงแค่ตัวเลขประมาณการโดยเฉลี่ยเท่านั้น หลักสูตรบางหลักสูตร อาจมีอัตราค่าเล่าเรียนที่สูงมาก อาทิเช่น หลักสูตรการบิน และหลักสูตรที่ต้องมีการใช้ห้องปฏิบัติการ

——————————————————————————–
ที่พักในสถานศึกษา 

สถานศึกษาส่วนใหญ่มักจัดที่พักในสถานศึกษา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา ที่พักในสถานศึกษานี้มักมีจำนวนจำกัด จึงควรเริ่มติดต่อ และสำรองห้องพักแต่เนิ่นๆ โดยการเขียนจดหมายขอรายละเอียด ไปยัง Housing Office ของสถานศึกษานี้ มีหลายประเภทคือ
Dormitory หรือ Residence Hall คือ หอพักสำหรับ นักศึกษาที่เป็นโสดหรือไม่ได้นำครอบครัว ไปด้วย อาจแบ่งเป็น หอพักหญิง หอพักชาย หรือหอพักรวม (โดยที่แยกนักศึกษาชาย-หญิง ออกเป็นคนละห้องหรือคนละชั้น) มีทั้งที่เป็นห้องเดี่ยว ห้องคู่ หรือห้องรวม 4 คน มีห้องน้ำในห้อง หรือห้องน้ำรวม
Married Housing เป็นหอพักสำหรับนักศึกษาที่แต่งงานแล้ว และนำครอบครัวไปด้วย บางแห่งจัดไว้เป็นหมู่บ้านมีทั้งที่เป็น Studio ห้องนอนเดี่ยวหรือคู่ อาจมีเฟอร์นิเจอร์หรือไม่ก็ได้
Apartment สถานศึกษาบางแห่ง จัดที่พักประเภทนี้ไว้ให้นักศึกษาอยู่ เหมือน Apartment ของเอกชน มักเก็บค่าเช่าแพงกว่าสองแบบที่กล่าวมาข้างต้น การอยู่ Apartment นี้ นักศึกษาจะมีอิสระมากกว่า เช่น มีอิสระในการเข้าออก หรือสามารถทำอาหารรับประทานเองได้
——————————————————————————–
ที่พักนอกสถานศึกษา

มักเป็นที่พักของเอกชน หรือบ้านเช่าต่างๆ นอกสถานศึกษา สถานที่พักเหล่านี้รับบุคคลทั่วไปเข้าพักได้ โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักศึกษาหรือไม่ การติดต่อหาที่พัก นักศึกษาต้องเป็นผู้หาข้อมูลเองว่ามีที่ใดว่าง สามารถเข้าพักได้เมื่อใด นักศึกษาอาจปรึกษาเจ้าหน้าที่ Housing Office หรือที่ปรึกษานักศึกษาต่างชาติ (Foreign Student Advisor) ของสถานศึกษา ว่าแห่งใดเหมาะแก่การพักอาศัย ทั้งนี้เพราะค่าเช่าที่พักเหล่านี้ ตลอดจนที่ตั้ง และสภาพที่พักอาจแตกต่างกันไป ผู้เข้าพักควรได้แวะไปดูสถานที่ก่อนเซ็นสัญญาเข้าพัก อีกทั้งควรได้ศึกษาและอ่านสัญญาเช่าบ้านพักให้ละเอียดรอบคอบ
Apartment
หลายราคา หลายระดับ ตั้งแต่ชนิดที่หรูหราจนถึงชนิดที่เก่าแก่ซอมซ่อ ราคาค่าเช่าพักนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพและที่ตั้งของ Apartment นั้นเอง โดยทั่วไป Apartment 1 ห้องชุด จะประกอบด้วยห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำครบบริบูรณ์ นักศึกษา 2-3 คนมักจะรวมกันเช่า เพราะนอกจากมีอิสระมากกว่าอยู่หอพักในสถานศึกษา ยังสามารถทำอาหารรับประทานได้ด้วย ข้อเสียคือ ค่าเช่ามักแพง ทำให้นักศึกษาต้องอยู่รวมกัน หากเป็นนักศึกษาไทยทั้งหมด โอกาสที่จะได้ฝึกภาษาก็น้อยลง นอกจากนี้ Apartment บางแห่ง อยู่ไกลจากที่เรียน ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง บางคนก็เสียเวลากับการปรุงอาหาร เพราะที่พักประเภทนี้มักไม่มีโรงอาหาร หรือ Cafeteria
Rooming House
คือห้องเช่า ส่วนมากมีลักษณะเป็นบ้าน มีหลายห้อง เจ้าของบ้านจะเป็นผู้กำหนดระเบียบการเช่า การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น การเปิด-ปิดเครื่องทำความร้อน (Heater) การใช้ครัวทำอาหาร การนำเพื่อนมาพักในโอกาสพิเศษ การใช้ตู้เย็น ห้องน้ำ ฯลฯ
Family
ปัจจุบันการหาครอบครัวอเมริกันเข้าพักด้วยค่อนข้างยาก หากมีก็มักจะอยู่ในลักษณะเหมือน Rooming House นั่นคือ เสียเงินค่าเช่าตามที่ตกลงกัน
สำหรับนักศึกษาที่เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาโดยไม่ได้จองที่พักใดๆ ไว้เลย หรือหอพักที่จองไว้ยังไม่เปิด อาจพักอยู่ชั่วคราวกับโรงแรม หรือที่พักชั่วคราวที่สถานศึกษาจัดไว้ให้ หรือกับสถานที่ซึ่งที่ปรึกษานักศึกษาต่างชาติ (Foreign Student Advisor) แนะนำ

Powered by Facebook Comments free add-on for most feature packed social sharing plugin for WordPress Easy Social Share Buttons

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com
error: Content is protected !!
Send this to a friend